ข้ามไปเนื้อหา

ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ผู้จัดยูฟ่า
ก่อตั้งค.ศ. 1955; 70 ปีที่แล้ว (1955)
(เปลี่ยนชื่อในปี ค.ศ. 1992)
ภูมิภาคยุโรป
จำนวนทีม
  • 36 (รอบลีก)
  • 81 (ทั้งหมด)
ผ่านเข้าไปเล่นใน
การแข่งขันที่เกี่ยวข้อง
ทีมชนะเลิศปัจจุบันประเทศสเปน เรอัลมาดริด
(15 สมัย)
ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดประเทศสเปน เรอัลมาดริด
(15 สมัย)
ผู้แพร่ภาพโทรทัศน์รายชื่อผู้ถ่ายทอดสด
เว็บไซต์เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2024–25

ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (อังกฤษ: UEFA Champions League) เป็นการแข่งขันฟุตบอลสโมสรประจำปีจัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) โดยแข่งขันระหว่างสโมสรฟุตบอลจากลีกสูงสุดในยุโรป การแข่งขันเริ่มต้นด้วยรอบลีกแบบพบกันหมด ผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกแบบพบกันเหย้าเยือนสองนัดและรอบชิงชนะเลิศนัดเดียว ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นการแข่งขันระดับสโมสรที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลกและเป็นการแข่งขันฟุตบอลที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับสามโดยรวม รองจากฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปและฟุตบอลโลก และเป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกและเป็นการแข่งขันระดับสโมสรที่มีชื่อเสียงที่สุดในฟุตบอลยุโรป ซึ่งแข่งขันโดยแชมป์ลีกระดับประเทศ (และรองชนะเลิศอย่างน้อยหรือมากกว่าหนึ่งสโมสรสำหรับบางประเทศ) ของสมาคมระดับชาติของพวกเขา

การแข่งขันเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1955 ในชื่อ ยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ (ฝรั่งเศส: Coupe des Clubs Champions Européens) และเรียกกันทั่วไปว่า ยูโรเปียนคัพ โดยเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกระหว่างสโมสรที่เป็นแชมป์ลีกในประเทศของยุโรป โดยทีมที่ชนะเลิศถือเป็นแชมป์สโมสรยุโรป การแข่งขันเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อปัจจุบันเมื่อปี ค.ศ. 1992 เพิ่มการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มแบบพบกันหมดเมื่อปี ค.ศ. 1991 และอนุญาตให้มีหลายสโมสรจากบางประเทศเข้าแข่งขันตั้งแต่ฤดูกาล 1997–1998[1] นับตั้งแต่นั้นมาก็มีการขยายให้มีหลายสโมสรเข้ามาแข่งขันมากขึ้น และในขณะที่ลีกระดับชาติของยุโรปส่วนใหญ่ยังสามารถเข้าผ่านตำแหน่งแชมป์ได้เท่านั้น แต่ลีกที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้สามารถเข้าแข่งขันได้ถึงสี่ทีม[2][3] สโมสรที่จบอันดับรองลงมาจากลีกระดับชาติของพวกเขาและไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีสิทธิ์เข้าแข่งขันใน ยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรประดับที่สอง และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 สโมสรที่ไม่ได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในยูฟ่ายูโรปาลีก จะมีสิทธิ์เข้าแข่งขันใน ยูฟ่าคอนเฟอเรนซ์ลีก ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลยุโรประดับที่สาม[4]

ในรูปแบบปัจจุบัน แชมเปียนส์ลีกจะเริ่มขึ้นในต้นเดือนกรกฎาคม โดยมีรอบคัดเลือกสามรอบและรอบเพลย์ออฟ โดยทั้งหมดเล่นแบบสองนัด เจ็ดทีมที่ผ่านเข้ารอบจะเข้าสู่รอบลีก โดยเข้าร่วมกับ 29 ทีมที่ผ่านเข้ารอบล่วงหน้า ทั้ง 36 ทีมจะลงเล่นเจอคู่แข่งแปดทีม โดยเหย้าสี่ทีม และเยือนสี่ทีม ทีมที่มีอันดับสูงสุด 24 ทีมจะผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออก และจะแข่งขันนัดชิงชนะเลิศในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือต้นเดือนมิถุนายน[5] ผู้ชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกจะได้แข่งขันในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลถัดไป, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ, ฟีฟ่าอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ และฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ[6][7]

สโมสรจากสเปนเป็นผู้ชนะเลิศมากที่สุด (20 ครั้ง) ตามมาด้วยอังกฤษ (15 ครั้ง) และ อิตาลี (12 ครั้ง) อังกฤษมีจำนวนสโมสรที่ชนะเลิศมากที่สุด (6 สโมสร) การแข่งขันมี 23 สโมสรเป็นผู้ชนะเลิศ โดย 13 สโมสรชนะเลิศมากกว่าหนึ่งครั้ง และ 8 สโมสรสามารถป้องกันตำแหน่งได้สำเร็จ[8] เรอัลมาดริด เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน โดยชนะเลิศ 15 ครั้งและเป็นสโมสรเดียวที่ชนะเลิศห้าครั้งติดต่อกัน (ในห้าฤดูกาลแรกของการแข่งขัน) และห้าครั้งจากสิบครั้งล่าสุด[9] ไบเอิร์นมิวนิก เป็นสโมสรเดียวที่ชนะทุกนัดของการแข่งขันจนถึงนัดชิงชนะเลิศในฤดูกาล 2019–20[10] เรอัลมาดริดเป็นผู้ชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกปัจจุบัน หลังชนะ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ 2–0 ในนัดชิงชนะเลิศ 2024 ชนะเลิศเป็นสมัยที่สิบห้า

ประวัติ

[แก้]

ครั้งแรกที่แชมป์ลีกยุโรปทั้งสองพบกันคือ เวิลด์แชมเปียนชิป 1895 เมื่อ ซันเดอร์แลนด์ แชมป์ลีกอังกฤษชนะ ฮาร์ต แชมป์ลีกสกอตแลนด์ 5–3[11] การแข่งขันทั่วยุโรปครั้งแรกคือ แชลลินจ์คัพ การแข่งขันระหว่างสโมสรจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี[12] สามปีต่อมาใน ค.ศ. 1900 แชมป์ลีกจากเบลเยียม, เนเธอร์แลนด์และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการแข่งขันลีกอยู่ในทวีปยุโรปในขณะนั้น เข้าร่วมใน คูเป ฟาน เดอร์ สเตรเทน ปอนโทซ ถูกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นขนานนามว่าเป็น "แชมป์สโมสรแห่งทวีป"[13][14]

มิโตรปาคัพ สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1927 โดย ฮูโก ไมเซิล ชาวออสเตรีย โดยนำรูปแบบการแข่งขันมาจากแชลลินจ์คัพ และแข่งขันระหว่างสโมสรยุโรปกลาง[15] เซอร์เวตต์ จัดการแข่งขันและลงเล่นใน คูเป เด เนชันส์ ใน ค.ศ. 1930 คือความพยายามครั้งแรกในการสร้างการแข่งขันชิงถ้วยชนะเลิศให้กับสโมสรแชมป์ระดับชาติของยุโรป[16] จัดขึ้นในเจนีวา เป็นรวบรวมแชมป์สิบสโมสรจากทั่วทั้งทวีปมารวมกัน อูจเปสต์ จากฮังการี เป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขัน[16] ประเทศลาตินยุโรปรวมตัวกันเพื่อก่อตั้ง ลาตินคัพ ใน ค.ศ. 1949[17]

กาเบรียล ฮาโนต์ บรรณาธิการของ เลกิป เริ่มเสนอให้มีการจัดการแข่งขันทั่วทั้งทวีป หลังจากได้รับรายงานจากนักข่าวเกี่ยวกับความสำเร็จอย่างสูงของ แชมเปียนชิปออฟแชมเปียนส์แห่งอเมริกาใต้ ใน ค.ศ. 1948[18] ในการสัมภาษณ์ ฌาคส์ เฟอร์ราน (หนึ่งในผู้ก่อตั้งยูโรเปียนแชมเปียนคัพร่วมกับกาเบรียล ฮาโนต์)[19] กล่าวว่าแชมเปียนชิปออฟแชมเปียนส์แห่งอเมริกาใต้เป็นแรงบันดาลใจให้กับยูโรเปียนแชมเปียนคัพ[20] หลัง สแตน คัลลิส ประกาศว่า วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ เป็น "แชมเปียนส์ของโลก" หลังจากประสบความสำเร็จในการแข่งขันกระชับมิตรในทศวรรษ 1950 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนัดที่ชนะบูดาเปสต์ฮอนเวด 3–2 ในที่สุด ฮาโนต์ก็สามารถโน้มน้าวให้ยูฟ่านำการแข่งขันดังกล่าวไปใช้จริง ได้รับการออกแบบในปารีสใน ค.ศ. 1955 โดยใช้ชื่อว่า ยูโรเปียนแชมเปียนคลับส์คัพ[1]

1955–1967: จุดเริ่มต้น

[แก้]
อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน (ภาพถ่ายใน ค.ศ. 1959) นำเรอัลมาดริดชนะเลิศยูโรเปียนคัพห้าสมัยติดต่อกันระหว่าง ค.ศ. 1956 ถึง 1960

การแข่งขันยูโรเปียนคัพครั้งแรกจัดขึ้นในฤดูกาล 1955–56[21][22] โดยมีสโมสรเข้าร่วมสิบหกสโมสร (บางสโมสรได้รับเชิญ) ได้แก่ เอซี มิลาน (อิตาลี), เอจีเอฟ ออร์ฮุส (เดนมาร์ก), อันเดอร์เลคต์ (เบลเยียม), เยอร์กอร์เดน (สวีเดน), กวาร์เดียวอร์ซาวา (โปแลนด์), ฮิเบอร์เนียน (สกอตแลนด์), ปาร์ติซาน (ยูโกสลาเวีย), เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน (เนเธอร์แลนด์), ราพีทวีน (ออสเตรีย), เรอัลมาดริด (สเปน), ร็อต-ไวส์ เอสเซน (เยอรมนีตะวันตก), ซาร์บรึคเคิน (ซาร์), เซอร์เวตต์ (สวิตเซอร์แลนด์), สปอร์ติงลิสบอน (โปรตุเกส), แร็งส์ (ฝรั่งเศส) และ โวโรส โลโบโก (ฮังการี)[21][22]

การแข่งขันยูโรเปียนคัพนัดแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1955 และจบลงด้วยการเสมอ 3–3 ระหว่างสปอร์ติงลิสบอนและปาร์ติซาน[21][22] ประตูแรกในประวัติศาสตร์การแข่งขันยูโรเปียนคัพทำโดย ฌูเวา บัพติสตา มาร์ตินส์ ให้กับสปอร์ติงลิสบอน[21][22] นัดชิงชนะเลิศครั้งแรกจัดขึ้นที่ ปาร์กเดแพร็งส์ ระหว่างสตาดเดอแร็งส์และเรอัลมาดริดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1956[21][22][23] ทีมจากสเปนตามหลังแต่สามารถกลับมาชนะได้ด้วยผลประตู 4–3 โดย อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน, มาร์กีโตส และสองประตูจาก เฮกตอร์ รีอัล[21][22][23] เรอัลมาดริดป้องกันแชมป์ได้สำเร็จในฤดูกาลถัดไปในสนามเหย้าของพวกเขา ซานเตียโก เบร์นาเบว โดยชนะฟีออเรนตีนา[24][25] หลังในครึ่งแรกไม่มีประตู เรอัลมาดริดทำสองประตูในหกนาทีจึงชนะทีมจากอิตาลี[23][24][25] ใน ค.ศ. 1958 มิลานล้มเหลวในการคว้าแชมป์หลังจากขึ้นนำสองประตู แต่เรอัลมาดริดตีเสมอได้[26][27] นัดชิงชนะเลิศจัดขึ้นที่สนามกีฬาเฮย์เซล โดยแข่งขันถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อ ฟรานซิสโก เกนโต ทำประตูชัยให้กับเรอัลมาดริด ส่งผลให้ชนะเลิศเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน[23][26][27]

เรอัลมาดริดพบกับสตาดเดอแร็งส์อีกครั้งใน นัดชิงชนะเลิศ 1959 ที่เนคคาร์สตาดิโอน และชนะ 2–0[23][28][29] ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท จากเยอรมันตะวันตก กลายเป็นทีมแรกที่ไม่ได้แข่งขันในลาตินคัพเพื่อเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพ[17][30][31] นัดชิงชนะเลิศ 1960 ครองสถิติเป็นนัดที่มีการทำประตูมากที่สุด เรอัลมาดริดชนะไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท 7–3 ที่แฮมป์เดนพาร์ก จากการทำประตูโดย แฟแร็นตส์ ปุชกาช สี่ประตูและแฮตทริกโดย อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน[23][30][31] และเป็นการชนะเลิศสมัยที่ห้าติดต่อกันของเรอัลมาดริด และสถิตินี้ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน[8]

ยุคสมัยของเรอัลมาดริดสิ้นสุดลงในฤดูกาล 1960–61 เมื่อ บาร์เซโลนา คู่แข่งที่ขมขื่นกำจัดพวกเขาออกไปในรอบแรก[32][33] บาร์เซโลนาแพ้ ไบฟีกา จากโปรตุเกส 3–2 ในนัดชิงชนะเลิศที่สนามกีฬาวานค์ดอร์ฟ[32][33][34] ไบฟีกาที่มี เอวแซบียู ชนะเรอัลมาดริด 5–3 ที่สนามกีฬาโอลิมปิกในอัมสเตอร์ดัม และรักษาแชมป์สองสมัยติดต่อกัน[34][35][36] ไบฟีกาต้องการทำตามความสำเร็จของเรอัลมาดริดในช่วงทศวรรษ 1950 หลังเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศในฤดูกาล 1962–63 แต่จากการทำสองประตูโดย โฌแซ อัลตาฟีนี จากมิลานที่เวมบลีย์ ทำให้ถ้วยรางวัลออกจากคาบสมุทรไอบีเรียเป็นครั้งแรก[37][38][39]

อินเตอร์มิลาน ชนะเรอัลมาดริด 3–1 ที่สนามกีฬาแอ็นสท์ ฮัพเพิล ในฤดูกาล 1963–64 และเลียนแบบความสำเร็จของคู่แข่งในท้องถิ่น[40][41][42] แชมป์อยู่ในมิลานสามปีติดต่อกัน หลังอินเตอร์ชนะไบฟีกา 1–0 ที่ซานซีโร สนามเหย้าของพวกเขา[43][44][45] เซลติก สโมสรจากสกอตแลนด์ ภายใต้การคุมทีมของ จ็อก สไตน์ ชนะอินเตอร์มิลาน 2–1 ในนัดชิงชนะเลิศ 1967 กลายเป็นสโมสรอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ[46][47] ผู้เล่นเซลติกในวันนั้น ซึ่งทุกคนเกิดภายในรัศมี 48 กิโลเมตรจากกลาสโกว์ ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนาม "สิงโตลิสบอน"[48]

1968–1982

[แก้]
โยฮัน ไกรฟฟ์ (ภาพใน ค.ศ. 1972) ชนะเลิศยูโรเปียนคัพสามสมัยติดต่อกันกับอายักซ์

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพในฤดูกาล 1967–68 โดยชนะแชมป์สองสมัย ไบฟีกา ด้วยผลประตู 4–1 ในนัดชิงชนะเลิศ[49] ซึ่งเกิดขึ้นสิบปีหลังจากภัยพิบัติทางอากาศมิวนิก ทำให้ผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเสียชีวิตแปดราย และผู้จัดการทีม แมตต์ บัสบี ต้องต่อสู้เพื่อชีวิตของเขา[50] อายักซ์ เป็นทีมดัตช์ทีมแรกที่เข้าถึงนัดชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพในฤดูกาล 1968–69 แต่พวกเขาแพ้ให้กับมิลานด้วยผลประตู 4–1 ด้วยการทำแฮต-ทริกของ ปิเอริโน ปราติ และทำให้มิลานชนะเลิศยูโรเปียนคัพเป็นสมัยที่สอง[51]

ไฟเยอโนร์ด เป็นทีมดัตช์ทีมแรกที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพในฤดูกาล 1969–70 โดยไฟเยอโนร์ดชนะมิลาน ซึ่งเป็นแชมป์เก่าในรอบสอง[52] ก่อนจะชนะเซลติกในนัดชิงชนะเลิศ[53] อายักซ์ชนะเลิศยูโรเปียนคัพในฤดูกาล 1970–71 โดยชนะ ปานาซีไนโกส จากกรีซในนัดชิงชนะเลิศ[54] ในฤดูกาลนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ได้แก่ การนำการดวลลูกโทษมาใช้ และกฎประตูทีมเยือน ถูกเปลี่ยนแปลงให้นำมาใช้ในทุกรอบยกเว้นนัดชิงชนะเลิศ[55] นับเป็นครั้งแรกที่ทีมจากกรีซเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศ และยังเป็นครั้งแรกที่เรอัลมาดริดไม่ผ่านเข้ารอบ หลังจากที่ฤดูกาลก่อนหน้านี้จบอันดับที่หกในลาลิกา[56] อายักซ์ชนะเลิศยูโรเปียนคัพสามปีติดต่อกัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1971 ถึง 1973 ต่อมา ไบเอิร์นมิวนิก ก็ชนะเลิศสามปีติดต่อกันเช่นกัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1974 ถึง 1976ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะเลิศสองสมัยแรกใน ค.ศ. 1977 และ 1978[57]

นอตทิงแฮมฟอเรสต์ ของไบรอัน คลัฟ ชนะเลิศยูโรเปียนคัพสองสมัยติดต่อกันในฤดูกาล 1978–79 และ 1979–80 ปีต่อมา ลิเวอร์พูลชนะเลิศเป็นสมัยที่สาม ก่อนที่แอสตันวิลลาจะยังคงครองความยิ่งใหญ่ของอังกฤษต่อไปในฤดูกาล 1981–82

1982–1992: การครอบงำของอังกฤษถูกทำลาย

[แก้]

ฮัมบัวร์เกอร์ เอ็สเฟา ทำลายการครอบงำของอังกฤษในฤดูกาล 1982–83 ลิเวอร์พูลชนะเลิศเป็นสมัยที่สี่ในในฤดูกาล 1983–84 ก่อนจะแพ้ให้กับยูเวนตุสในนัดชิงชนะเลิศฤดูกาล 1984–85 สเตอัว บูคาเรสต์ ชนะเลิศในฤดูกาล 1985–86, โปร์ตู ชนะเลิศในฤดูกาล 1986–87, เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ชนะเลิศในฤดูกาล 1987–88 มิลาน (2), เรดสตาร์เบลเกรด และบาร์เซโลนา เป็นผู้ชนะเลิศก่อนการแข่งขันจะเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หลังเกิดภัยพิบัติเฮย์เซลในยูโรเปียนคัพ นัดชิงชนะเลิศ 1985 ทำให้สโมสรอังกฤษทั้งหมดถูกแบนเป็นเวลาห้าปี (ลิเวอร์พูลหกปี)

เพลงสรรเสริญ

[แก้]
"เวทมนตร์... เวทมนตร์เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อคุณได้ยินเพลงสรรเสริญ คุณจะหลงใหลทันที"

ซีเนดีน ซีดาน[58]

ทั้งสองทีมจะเข้าแถวเพื่อฟังเพลงสรรเสริญยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกก่อนการแข่งขันในแต่ละนัด โดยมีธงโลโก้ "สตาร์บอล" ของแชมเปียนส์ลีกโบกสะบัดอยู่ในวงกลมตรงกลาง

เพลงสรรเสริญยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มีชื่ออย่างเป็นทางการเพียงแค่ว่า "แชมเปียนส์ลีก" แต่งโดย โทนี บริตเทน และดัดแปลงจากเพลงสรรเสริญ เซดอกเดอะพรีสต์ ของ จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล เมื่อ ค.ศ. 1727 (หนึ่งในเพลงสรรเสริญพระบารมีของเขา)[59][60] ยูฟ่าได้มอบหมายให้บริตเทนเรียบเรียงเพลงสรรเสริญใน ค.ศ. 1992 และเพลงนี้ได้รับการบรรเลงโดยวง รอยัลฟิลฮาร์โมนิกออร์เคสตรา ของลอนดอน และขับร้องโดย อะคาเดมีออฟเซนต์มาร์ตินอินเดอะฟิลส์[59] เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของยูฟ่าระบุว่า "เพลงสรรเสริญนี้แทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์เทียบเท่ากับถ้วยรางวัลแล้ว" และยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า "เป็นที่รู้กันว่าทำให้บรรดานักเตะชั้นนำของโลกหลายคนหัวใจเต้นแรง"[59]

เนื้อเพลงประกอบด้วยภาษาทางการสามภาษาที่ยูฟ่าใช้ ได้แก่ อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส[61] เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายมีเครื่องหมายอัศเจรีย์ "ดี ไมส์เตอร์! ดี เบสติน! เลส์ กรองด์ เอกิปส์! เดอะ แชมเปียนส์!"[62] เพลงสรรเสริญจะบรรเลงก่อนเกมการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกแต่ละเกม โดยทั้งสองทีมจะยืนเรียงแถวกัน รวมถึงในช่วงเริ่มต้นและสิ้นสุดการถ่ายทอดสดการแข่งขันทางโทรทัศน์ นอกจากเพลงสรรเสริญแล้ว ยังมีเพลงเปิดการแข่งขันซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนจากเพลงสรรเสริญ ซึ่งจะบรรเลงเมื่อทีมต่าง ๆ เข้าสู่สนาม[63] เพลงสรรเสริญฉบับเต็มมีความยาวประมาณ 3 นาที ประกอบด้วยเนื้อเพลงสองท่อนสั้น ๆ และคอรัส[61]

มีการแสดงสดในนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก โดยมีการร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงเป็นภาษาอื่น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาษาของประเทศเจ้าภาพสำหรับท่อนคอรัส โดยการแสดงสดรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ อันเดรอา โบเชลลี (อิตาลี; โรม 2009, มิลาน 2016 และคาร์ดิฟฟ์ 2017), ฮวน ดิเอโก ฟลอเรส (สเปน; มาดริด 2010), ออลแอนเจิลส์ (เวมบลีย์ 2011), โจนาส คอฟมันน์ และเดวิด การ์เร็ตต์ (มิวนิก 2012) และมาริซา (ลิสบอน 2014) ในนัดชิงชนะเลิศ 2013 ที่เวมบลีย์ มีการร้องท่อนคอรัสสองครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศ 2018 และ 2019 ซึ่งจัดขึ้นที่เคียฟ และมาดริด ตามลำดับ มีการบรรเลงของท่อนคอรัสเล่นโดย 2เชลโลส์ (2018) และอัสตูเรียเกิร์ลส์ (2019)[64][65] ในนัดชิงชนะเลิศ 2023 ที่จัดขึ้นในอิสตันบูล อาดัม ยอร์กี นักเปียโนชาวฮังการีได้แสดงเพลงสรรเสริญในรูปแบบเปียโน[66] เพลงสรรเสริญได้รับการเผยแพร่ในเชิงพาณิชย์ในรูปแบบดั้งเดิมบน ไอทูนส์ และสปอติฟาย ในชื่อว่า แชมเปียนส์ลีกธีม ใน ค.ศ. 2018 นักแต่งเพลง ฮันส์ ซิมเมอร์ ได้มิกซ์เพลงสรรเสริญใหม่ร่วมกับแร็ปเปอร์ วินซ์ สเตเปิลส์ สำหรับวิดีโอเกม ฟีฟ่า 19 ของ อีเอสปอร์ตส์ ซึ่งเพลงดังกล่าวยังปรากฏในตัวอย่างเปิดตัวเกมด้วย[67]

รูปแบบ

[แก้]
แผนที่สมาชิกยูฟ่าที่ทีมไปถึงรอบลีกหรือรอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  สมาชิกยูฟ่าที่ได้เข้ารอบลีกหรือรอบแบ่งกลุ่ม
  สมาชิกยูฟ่าที่ยังไม่เคยเข้ารอบลีกหรือรอบแบ่งกลุ่ม

การคัดเลือก

[แก้]

ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเคยเริ่มต้นด้วยการแข่งขันแบบพบกันหมดเหย้าเยือนในรอบแบ่งกลุ่มโดยมี 32 ทีม จนกระทั่งพัฒนามาเป็นการแข่งขันแบบลีกซึ่งมี 36 ทีม ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีการแบ่งรอบคัดเลือกออกเป็น 2 กลุ่มสำหรับทีมที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันโดยตรง ได้แก่ ทีมที่ผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นแชมป์ลีก และทีมที่ผ่านเข้ารอบด้วยการจบอันดับที่สอง, อันดับที่สาม หรืออันดับที่สี่ในลีกระดับประเทศ

จำนวนทีมที่แต่ละสมาคมส่งเข้าแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนั้นขึ้นอยู่กับค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่าของสมาชิกสมาคม ค่าสัมประสิทธิ์เหล่านี้ได้มาจากผลงานของสโมสรที่เป็นตัวแทนของแต่ละสมาคมในช่วง 5 ฤดูกาลก่อนหน้าของแชมเปียนส์ลีก, ยูโรปาลีก และคอนเฟอเรนซ์ลีก ยิ่งค่าสัมประสิทธิ์ของสมาคมสูงขึ้นเท่าใด ทีมต่าง ๆ ก็ยิ่งเป็นตัวแทนของสมาคมในแชมเปียนส์ลีกมากขึ้นเท่านั้น และทีมต่าง ๆ ของสมาคมจะต้องแข่งขันในรอบคัดเลือกน้อยลง

ห้าจากเจ็ดตำแหน่งจะมอบให้กับผู้ชนะการแข่งขันรอบคัดเลือกสี่รอบ ระหว่างแชมป์ลีกจาก 43 หรือ 44 สมาคม ซึ่งแชมป์ลีกจากสมาคมที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงกว่าจะได้รับบายในรอบต่อ ๆ ไป ส่วนอีกสองตำแหน่งจะมอบให้กับผู้ชนะการแข่งขันคัดเลือกสามรอบ ระหว่างสิบถึงสิบเอ็ดสโมสรจากสมาคมที่อยู่ในอันดับ 5–6 ถึง 15 ซึ่งผ่านเข้ารอบโดยขึ้นอยู่กับอันดับที่สอง สาม หรือสี่ในลีกของพวกเขา

นอกจากเกณฑ์ด้านกีฬาแล้ว สโมสรจะต้องได้รับใบอนุญาตจากสมาคมระดับชาติเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันแชมเปียนส์ลีก สโมสรจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสนามกีฬา โครงสร้างพื้นฐาน และการเงินบางประการเพื่อขอใบอนุญาต

ในฤดูกาล 2005–06 ลิเวอร์พูลและอาร์ตมีเดีย บราติสลาวา กลายเป็นทีมแรกที่ผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มของยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก หลังจากผ่านรอบคัดเลือกครบทั้งสามรอบ เรอัลมาดริดและบาร์เซโลนา ครองสถิติการผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มมากที่สุดจำนวน 25 ครั้ง ตามมาด้วย โปร์ตูและไบเอิร์นมิวนิก จำนวน 24 ครั้ง[68]

รอบลีกและรอบแพ้คัดออก

[แก้]

การจัดสรร

[แก้]
รายชื่อผู้เข้าแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2024–25[69]
สโมสรที่เข้าสู่รอบนี้ สโมสรที่มาจากรอบก่อนหน้า
รอบคัดเลือกรอบแรก
(32 สโมสร)
  • 32 สโมสรที่ชนะเลิศในลีกจากสมาคมอันดับที่ 23-55 (ยกเว้นลิชเตนสไตน์)
รอบคัดเลือกรอบสอง เส้นทางแชมเปียน
(24 สโมสร)
  • 8 สโมสรที่ชนะเลิศในลีกจากสมาคมอันดับที่ 15–22
  • 16 สโมสรชนะในรอบคัดเลือกรอบแรก
เส้นทางลีก
(6 สโมสร)
  • 6 สโมสรที่จบรองชนะเลิศในลีกจากสมาคมอันดับที่ 10–15
รอบคัดเลือกรอบสาม เส้นทางแชมเปียน
(12 สโมสร)
  • 12 สโมสรที่ชนะจากรอบคัดเลือกรอบสอง (เส้นทางแชมเปียน)
เส้นทางลีก
(8 สโมสร)
  • 3 สโมสรที่จบรองชนะเลิศในลีกจากสมาคมอันดับที่ 7–9
  • 1 สโมสรที่จบอันดับที่สามในลีกจากสมาคมอันดับที่ 6
  • 1 สโมสรที่จบอันดับที่สี่ในลีกจากสมาคมอันดับที่ 5
  • 3 สโมสรที่ชนะจากรอบคัดเลือกรอบสอง (เส้นทางลีก)
รอบเพลย์ออฟ เส้นทางแชมเปียน
(10 สโมสร)
  • 4 สโมสรที่ชนะเลิศในลีกจากสมาคมอันดับที่ 11–14
  • 6 สโมสรที่ชนะจากรอบคัดเลือกรอบสาม (เส้นทางแชมเปียน)
เส้นทางลีก
(4 สโมสร)
  • 4 สโมสรที่ชนะจากรอบคัดเลือกรอบสาม (เส้นทางลีก)
รอบลีก
(36 สโมสร)
  • แชมป์เก่ายูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  • แชมป์เก่ายูฟ่ายูโรปาลีก
  • 10 สโมสรที่ชนะเลิศในลีกจากสมาคมอันดับที่ 1–10
  • 6 สโมสรที่จบรองชนะเลิศในลีกจากสมาคมอันดับที่ 1–6
  • 5 สโมสรที่จบอันดับที่สามในลีกจากสมาคมอันดับที่ 1–5
  • 4 สโมสรที่จบอันดับที่สี่ในลีกจากสมาคมอันดับที่ 1–4
  • 2 สโมสรจากสมาคมที่มีค่าสัมประสิทธิ์ 1 ปีสูงที่สุด
  • 5 สโมสรที่ชนะจากรอบเพลย์ออฟ (เส้นทางแชมเปียน)
  • 2 สโมสรที่ชนะจากรอบเพลย์ออฟ (เส้นทางลีก)
รอบแพ้คัดออกเบื้องต้น
(16 สโมสร)
  • 16 สโมสรที่จบอันดับ 9−24 ในรอบลีก
รอบแพ้คัดออก
(16 สโมสร)
  • 8 สโมสรที่ชนะจากรอบแพ้คัดออกก่อนหน้านี้
  • 8 สโมสรที่จบอันดับ 1−8 ในรอบลีก

รางวัล

[แก้]

ถ้วยรางวัลและเหรียญ

[แก้]
ถ้วยรางวัล

เงินรางวัล

[แก้]

เริ่มต้นตั้งแต่ฤดูกาล 2024–25 การแจกจ่ายเงินรางวัลมีดังต่อไปนี้[70]

  • รอบเพลย์ออฟ: €4,290,000
  • ค่าธรรมเนียมพื้นฐานสำหรับรอบลีก: €18,620,000
  • ชนะในรอบลีก: €2,100,000
  • เสมอในรอบลีก: €700,000
  • จบแปดอันดับแรกในรอบลีก: €2,000,000
  • จบอันดับเก้าถึงสิบหกในรอบลีก: €1,000,000
  • รอบแพ้คัดออกเพลย์ออฟ: €1,000,000
  • รอบ 16 ทีมสุดท้าย: €11,000,000
  • รอบก่อนรองชนะเลิศ: €12,500,000
  • รอบรองชนะเลิศ: €15,000,000
  • รองชนะเลิศ: €18,500,000
  • ผู้ชนะเลิศ: €25,000,000

รายได้ที่แจกจ่ายจากยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับ "ตลาดรวม" โดยการกระจายนั้นถูกกำหนดโดยมูลค่าของตลาดโทรทัศน์ในแต่ละประเทศ ในฤดูกาล 2019–20 ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งซึ่งเป็นรองชนะเลิศ ได้รับเงินรวมเกือบ 126.8 ล้านยูโร โดย 101.3 ล้านยูโรเป็นเงินรางวัล เมื่อเทียบกับ 125.46 ล้านยูโรที่ไบเอิร์นมิวนิกได้รับ ซึ่งเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันและได้รับเงินรางวัล 112.96 ล้านยูโร[71]

บันทึกและสถิติของทีม

[แก้]

ผลงานแบ่งตามสโมสร

[แก้]
ผลงานในยูโรเปียนคัพและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกแบ่งตามสโมสร
สโมสร
ชนะเลิศ รองชนะเลิศ ฤดูกาลที่ชนะเลิศ ฤดูกาลที่รองชนะเลิศ
ประเทศสเปน เรอัลมาดริด 15 3 1956, 1957, 1958, 1959, 1960, 1966, 1998, 2000, 2002, 2014, 2016, 2017, 2018, 2022, 2024 1962, 1964, 1981
ประเทศอิตาลี มิลาน 7 4 1963, 1969, 1989, 1990, 1994, 2003, 2007 1958, 1993, 1995, 2005
ประเทศเยอรมนี ไบเอิร์นมิวนิก 6 5 1974, 1975, 1976, 2001, 2013, 2020 1982, 1987, 1999, 2010, 2012
ประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูล 6 4 1977, 1978, 1981, 1984, 2005, 2019 1985, 2007, 2018, 2022
ประเทศสเปน บาร์เซโลนา 5 3 1992, 2006, 2009, 2011, 2015 1961, 1986, 1994
ประเทศเนเธอร์แลนด์ อายักซ์ 4 2 1971, 1972, 1973, 1995 1969, 1996
ประเทศอิตาลี อินเตอร์มิลาน 3 3 1964, 1965, 2010 1967, 1972, 2023
ประเทศอังกฤษ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3 2 1968, 1999, 2008 2009, 2011
ประเทศอิตาลี ยูเวนตุส 2 7 1985, 1996 1973, 1983, 1997, 1998, 2003, 2015, 2017
ประเทศโปรตุเกส ไบฟีกา 2 5 1961, 1962 1963, 1965, 1968, 1988, 1990
ประเทศอังกฤษ เชลซี 2 1 2012, 2021 2008
ประเทศอังกฤษ นอตทิงแฮมฟอเรสต์ 2 0 1979, 1980
ประเทศโปรตุเกส โปร์ตู 2 0 1987, 2004
ประเทศเยอรมนี โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ 1 2 1997 2013, 2024
ประเทศสกอตแลนด์ เซลติก 1 1 1967 1970
ประเทศเยอรมนี ฮัมบูร์เกอร์เอสเฟา 1 1 1983 1980
ประเทศโรมาเนีย สเตอัวบูคูเรสตี 1 1 1986 1989
ประเทศฝรั่งเศส มาร์แซย์ 1 1 1993 1991
ประเทศอังกฤษ แมนเชสเตอร์ซิตี 1 1 2023 2021
ประเทศเนเธอร์แลนด์ ไฟเยอโนร์ด 1 0 1970
ประเทศอังกฤษ แอสตันวิลลา 1 0 1982
ประเทศเนเธอร์แลนด์ เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน 1 0 1988
สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย เรดสตาร์เบลเกรด 1 0 1991
ประเทศสเปน อัตเลติโกเดมาดริด 0 3 1974, 2014, 2016
ประเทศฝรั่งเศส แร็งส์ 0 2 1956, 1959
ประเทศสเปน บาเลนเซีย 0 2 2000, 2001
ประเทศอิตาลี ฟีออเรนตีนา 0 1 1957
ประเทศเยอรมนี ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟูร์ท 0 1 1960
สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ปาร์ติซาน 0 1 1966
ประเทศกรีซ ปานาซีไนโกส 0 1 1971
ประเทศอังกฤษ ลีดส์ยูไนเต็ด 0 1 1975
ประเทศฝรั่งเศส แซ็งเตเตียน 0 1 1976
ประเทศเยอรมนี โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค 0 1 1977
ประเทศเบลเยียม กลึบบรึคเคอ 0 1 1978
ประเทศสวีเดน มัลเมอ เอฟเอฟ 0 1 1979
ประเทศอิตาลี โรมา 0 1 1984
ประเทศอิตาลี ซัมป์โดเรีย 0 1 1992
ประเทศเยอรมนี ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 0 1 2002
ประเทศฝรั่งเศส มอนาโก 0 1 2004
ประเทศอังกฤษ อาร์เซนอล 0 1 2006
ประเทศอังกฤษ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 0 1 2019
ประเทศฝรั่งเศส ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง 0 1 2020

ผลงานแบ่งตามชาติ

[แก้]
ผลงานในนัดชิงชนะเลิศแบ่งตามชาติ
ชาติ ชนะเลิศ รองชนะเลิศ รวม
 สเปน 20 11 31
 อังกฤษ 15 11 26
 อิตาลี 12 17 29
 เยอรมนี[a] 8 11 19
 เนเธอร์แลนด์ 6 2 8
 โปรตุเกส 4 5 9
 ฝรั่งเศส 1 6 7
 โรมาเนีย 1 1 2
 สกอตแลนด์ 1 1 2
 ยูโกสลาเวีย[b] 1 1 2
 เบลเยียม 0 1 1
 กรีซ 0 1 1
 สวีเดน 0 1 1

หมายเหตุ

  1. รวมสโมสรที่เป็นตัวแทนจากเยอรมนีตะวันตก และไม่มีสโมสรที่เป็นตัวแทนจากเยอรมนีตะวันออกเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศ
  2. ตัวแทนจากยูโกสลาเวียทั้งสองสโมสรมาจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเซอร์เบีย

บันทึกผู้เล่น

[แก้]

ชนะเลิศมากที่สุด

[แก้]
ปาโก เฆนโต เป็นคนแรกจากผู้เล่นห้าคนที่ชนะเลิศการแข่งขันหกครั้ง และลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศแปดครั้ง
ดานิ การ์บาฆัล เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ลงเล่นเป็นตัวจริงแล้วชนะเลิศหกครั้ง ร่วมกับปาโก เฆนโต
คริสเตียโน โรนัลโด ครองสถิติชนะนัดการแข่งขันมากที่สุด
จำนวนที่ชนะเลิศ ผู้เล่น สโมสร
6 ปาโก เฆนโต เรอัลมาดริด (1956, 1957, 1958, 1959, 1960, 1966)
โทนี โครส ไบเอิร์นมิวนิก (2013)
เรอัลมาดริด (2016, 2017, 2018, 2022, 2024)
ดานิ การ์บาฆัล เรอัลมาดริด (2014, 2016, 2017, 2018, 2022, 2024)
ลูกา มอดริช
นาโช
5 ฮวน อลอนโซ เรอัลมาดริด (1956, 1957, 1958, 1959, 1960)
ราฟาเอล เลสเมส
มาร์กิโตส
เฮกตอร์ รีอัล
อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน
โฆเซ มาเรีย ซาร์รากา
อาเลสซันโดร กอสตากูร์ตา เอซี มิลาน (1989, 1990, 1994, 2003, 2007)
เปาโล มัลดีนี
คริสเตียโน โรนัลโด แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2008)
เรอัลมาดริด (2014, 2016, 2017, 2018)
แกเร็ท เบล เรอัลมาดริด (2014, 2016, 2017, 2018, 2022)
การีม แบนเซมา
กาเซมีรู
อิสโก
มาร์เซลู
ลูกัส บัซเกซ เรอัลมาดริด (2016, 2017, 2018, 2022, 2024)
4 โฮเซโต เรอัลมาดริด (1956, 1957, 1958, 1959)
เอนริเก มาเตโอส เรอัลมาดริด (1957, 1958, 1959, 1960)
ฮวน ซานติสเตบัน
โฮเซ ซานตามารีอา เรอัลมาดริด (1958, 1959, 1960, 1966)
ฟิล นีล ลิเวอร์พูล (1977, 1978, 1981, 1984)
แกลเรินส์ เซดอร์ฟ อายักซ์ (1995)
เรอัลมาดริด (1998)
เอซี มิลาน (2003, 2007)
อันเดรส อินิเอสตา บาร์เซโลนา (2006, 2009, 2011, 2015)
ลิโอเนล เมสซิ
ชาบี
ฌาราร์ต ปิเก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (2008)
บาร์เซโลนา (2009, 2011, 2015)
เซร์ฆิโอ ราโมส เรอัลมาดริด (2014, 2016, 2017, 2018)
ราฟาแอล วาราน
มาเตออ กอวาชิช เรอัลมาดริด (2016, 2017, 2018)
เชลซี (2021)
เดวิด อาลาบา ไบเอิร์นมิวนิก (2013, 2020)
เรอัลมาดริด (2022, 2024)

ลงเล่นมากที่สุด

[แก้]
ณ วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2025 [72][73]
ผู้เล่นที่ยังลงเล่นอยู่ในยุโรปจะถูกเน้นด้วย ตัวหนา
ตารางด้านล่างนี้ไม่ได้รวมการปรากฏตัวในรอบคัดเลือกของการแข่งขัน
อันดับ ผู้เล่น ชาติ ลงเล่น ปี สโมสร
1 คริสเตียโน โรนัลโด  โปรตุเกส 183 2003–2022 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (59), เรอัลมาดริด (101), ยูเวนตุส (23)
2 อีเกร์ กาซียัส  สเปน 177 1999–2019 เรอัลมาดริด (150), โปร์ตู (27)
3 ลิโอเนล เมสซิ  อาร์เจนตินา 163 2005–2023 บาร์เซโลนา (149), ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (14)
4 โทมัส มึลเลอร์  เยอรมนี 157 2009– ไบเอิร์นมิวนิก
5 การีม แบนเซมา  ฝรั่งเศส 152 2005–2023 ลียง (19), เรอัลมาดริด (133)
6 โทนี โครส  เยอรมนี 151 2008–2024 ไบเอิร์นมิวนิก (41), เรอัลมาดริด (110)
ชาบี  สเปน 1998–2015 บาร์เซโลนา
8 มานูเอ็ล น็อยเออร์  เยอรมนี 146 2007– ชัลเคอ 04 (22), ไบเอิร์นมิวนิก (124)
9 เซร์ฆิโอ ราโมส  สเปน 142 2005–2023 เรอัลมาดริด (129), ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (8), เซบิยา (5)
ราอุล  สเปน 1995–2011 เรอัลมาดริด (130), ชัลเคอ 04 (12)

ทำประตูสูงสุด

[แก้]
ณ วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2025 [74][75]
‡ บ่งบอกว่านักเตะคนนี้มาจากยุคยูโรเปียนคัพ
ผู้เล่นที่เข้าร่วมแข่งขันใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2024–25 จะถูกเน้นด้วย ตัวหนา
ตารางด้านล่างนี้ไม่รวมประตูที่ทำได้ในรอบคัดเลือกของการแข่งขัน
อันดับ ผู้เล่น จำนวนประตู ลงเล่น อัตราส่วน ปี สโมสร (จำนวนประตู/ลงเล่น)
1 ประเทศโปรตุเกส คริสเตียโน โรนัลโด 140 183 0.77 2003–2022 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (21/59), เรอัลมาดริด (105/101), ยูเวนตุส (14/23)
2 ประเทศอาร์เจนตินา ลิโอเนล เมสซิ 129 163 0.79 2005–2023 บาร์เซโลนา (120/149), ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (9/14)
3 ประเทศโปแลนด์ รอแบร์ต แลวันดอฟสกี 103 127 0.81 2011– โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ (17/28), ไบเอิร์นมิวนิก (69/78), บาร์เซโลนา (17/21)
4 ประเทศฝรั่งเศส การีม แบนเซมา 90 152 0.59 2005–2023 ลียง (12/19), เรอัลมาดริด (78/133)
5 ประเทศสเปน ราอุล 71 142 0.50 1995–2011 เรอัลมาดริด (66/130), ชัลเคอ 04 (5/12)
6 ประเทศเนเธอร์แลนด์ รืด ฟัน นิสเติลโรย 56 73 0.77 1998–2009 เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน (8/11), แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (35/43), เรอัลมาดริด (13/19)
7 ประเทศเยอรมนี โทมัส มึลเลอร์ 55 157 0.35 2009– ไบเอิร์นมิวนิก
8 ประเทศฝรั่งเศส กีลียาน อึมบาเป 51 80 0.64 2016– มอนาโก (6/9), ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (42/64), เรอัลมาดริด (3/7)
9 ประเทศฝรั่งเศส ตีแยรี อ็องรี 50 112 0.45 1997–2012 มอนาโก (7/9), อาร์เซนอล (35/77), บาร์เซโลนา (8/26)
10 ประเทศอาร์เจนตินา ประเทศสเปน อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน 49 58 0.84 1955–1964 เรอัลมาดริด

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 "Football"s premier club competition". UEFA. 31 January 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 February 2010. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  2. "Clubs". UEFA. 12 May 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2020. สืบค้นเมื่อ 12 May 2020.
  3. "UEFA Europa League further strengthened for 2015–18 cycle" (Press release). UEFA. 24 May 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2020. สืบค้นเมื่อ 2 August 2013.
  4. "UEFA Executive Committee approves new club competition" (Press release). UEFA. 2 December 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 December 2018. สืบค้นเมื่อ 2 December 2018.
  5. "Matches". UEFA.com. Union of European Football Associations. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 May 2020. สืบค้นเมื่อ 12 May 2020.
  6. "Club competition winners do battle". UEFA. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2010. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  7. "FIFA Club World Cup". FIFA. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 October 2007. สืบค้นเมื่อ 30 December 2013.
  8. 8.0 8.1 "European Champions" Cup". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 February 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  9. "Most titles | History". UEFA. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 June 2022. สืบค้นเมื่อ 29 May 2022.
  10. "A perfect 11! Flawless Bayern set new Champions League record with PSG victory". Goal.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 August 2020. สืบค้นเมื่อ 2 August 2021.
  11. "When Sunderland met Hearts in the first ever "Champions League" match". Nutmeg Magazine. 2 September 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2020.
  12. García, Javier; Kutschera, Ambrosius; Schöggl, Hans; Stokkermans, Karel (2009). "Austria/Habsburg Monarchy – Challenge Cup 1897–1911". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 July 2022. สืบค้นเมื่อ 5 September 2011.
  13. "European Cup Origins". europeancuphistory.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2021. สืบค้นเมื่อ 13 July 2022.
  14. "Coupe Van der Straeten Ponthoz". RSSSF. 10 February 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2022. สืบค้นเมื่อ 13 July 2022.
  15. Stokkermans, Karel (2009). "Mitropa Cup". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 February 2023. สืบค้นเมื่อ 2 February 2023.
  16. 16.0 16.1 Ceulemans, Bart; Michiel, Zandbelt (2009). "Coupe des Nations 1930". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2022. สืบค้นเมื่อ 5 September 2011.
  17. 17.0 17.1 Stokkermans, Karel; Gorgazzi, Osvaldo José (2006). "Latin Cup". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2017. สืบค้นเมื่อ 5 September 2011.
  18. "Primeira Libertadores – História (Globo Esporte 09/02/20.l.08)". YouTube. 18 February 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2021. สืบค้นเมื่อ 14 August 2010.
  19. "European Cup pioneer Jacques Ferran passes away". UEFA. 8 February 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2021. สืบค้นเมื่อ 1 January 2021.
  20. "Globo Esporte TV programme, Brazil, broadcast (in Portuguese) on 10/05/2015: Especial: Liga dos Campeões completa 60 anos, e Neymar ajuda a contar essa história. Accessed on 06/12/2015. Ferran"s speech goes from 5:02 to 6:51 in the video". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016.
  21. 21.0 21.1 21.2 21.3 21.4 21.5 "1955/56 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  22. 22.0 22.1 22.2 22.3 22.4 22.5 "European Champions" Cup 1955–56 – Details". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 July 2022. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  23. 23.0 23.1 23.2 23.3 23.4 23.5 "Trofeos de Fútbol". Real Madrid. 31 January 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2009. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  24. 24.0 24.1 "1956/57 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  25. 25.0 25.1 "Champions" Cup 1956–57". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 April 2023. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  26. 26.0 26.1 "1957/58 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  27. 27.0 27.1 "Champions" Cup 1957–58". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 November 2022. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  28. "1958/59 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  29. "Champions" Cup 1958–59". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 August 2022. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  30. 30.0 30.1 "1959/60 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  31. 31.0 31.1 "Champions" Cup 1959–60". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2023. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  32. 32.0 32.1 "1960/61 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  33. 33.0 33.1 "Champions" Cup 1960–61". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 September 2022. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  34. 34.0 34.1 "Anos 60: A "década de ouro"". Sport Lisboa e Benfica. 31 January 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 October 2007. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  35. "1961/62 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  36. "Champions" Cup 1961–62". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2023. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  37. "1962/63 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  38. "Champions" Cup 1962–63". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 July 2022. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  39. "Coppa Campioni 1962/63". Associazione Calcio Milan. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 April 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  40. "1963/64 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  41. "Champions" Cup 1963–64". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 February 2023. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  42. "Palmares: Prima coppa dei campioni – 1963/64" (ภาษาอิตาลี). FC Internazionale Milano. 31 January 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 May 2006. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  43. "1964/65 European Champions Clubs" Cup". Union of European Football Associations. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 September 2011. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  44. "Champions" Cup 1964–65". Rec.Sport.Soccer Statistics Foundation. 31 January 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2022. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  45. "Palmares: Prima coppa dei campioni – 1964/65" (ภาษาอิตาลี). FC Internazionale Milano. 31 January 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 May 2006. สืบค้นเมื่อ 23 May 2010.
  46. "A Sporting Nation – Celtic win European Cup 1967". BBC Scotland. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 December 2006. สืบค้นเมื่อ 28 January 2016.
  47. "Celtic immersed in history before UEFA Cup final". Sports Illustrated. 20 May 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2012. สืบค้นเมื่อ 15 May 2010.
  48. Lennox, Doug (2009). Now You Know Soccer. Dundurn Press. p. 143. ISBN 978-1-55488-416-2. now you know soccer who were the lisbon lions.
  49. "Man. United – Benfica 1967 History". UEFA.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 June 2020. สืบค้นเมื่อ 20 June 2020.
  50. "Season 1967". UEFA.com. Union of European Football Associations. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 June 2020. สืบค้นเมื่อ 20 June 2020.
  51. "Milan-Ajax 1968 History". UEFA.com. Union of European Football Associations. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2020. สืบค้นเมื่อ 2 July 2020.
  52. "Feyenoord – Milan 1969 History". UEFA Champions League. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 December 2020. สืบค้นเมื่อ 12 August 2020.
  53. "Feyenoord – Celtic 1969 History". UEFA Champions League. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2020. สืบค้นเมื่อ 12 August 2020.
  54. "Ajax – Panathinaikos 1970 History". UEFA.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2021. สืบค้นเมื่อ 12 August 2020.
  55. Zea, Antonio; Haisma, Marcel (9 January 2008). "European Champions" Cup and Fairs" Cup 1970–71 – Details". RSSSF. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 April 2009. สืบค้นเมื่อ 12 August 2020.
  56. "Classification First Division 1969–70". bdfutbol.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2019. สืบค้นเมื่อ 12 August 2020.
  57. "Champions League final: Full list of all UCL and European Cup winners as Chelsea, Man City try to make history". CBS Sports. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 October 2021. สืบค้นเมื่อ 29 October 2021.
  58. "The story of the UEFA Champions League anthem". Union of European Football Associations. 8 March 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 November 2020. สืบค้นเมื่อ 17 August 2018 – โดยทาง YouTube.
  59. 59.0 59.1 59.2 "UEFA Champions League anthem". UEFA.com. Union of European Football Associations. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2020. สืบค้นเมื่อ 12 May 2020.
  60. Media, democracy and European culture. Intellect Books. 2009. p. 129. ISBN 978-1-84150-247-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 December 2023. สืบค้นเมื่อ 14 September 2014.
  61. 61.0 61.1 "What is the Champions League music? The lyrics and history of one of football"s most famous songs". Wales Online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 August 2018. สืบค้นเมื่อ 17 August 2018.
  62. Fornäs, Johan (2012). Signifying Europe (PDF). Bristol, England: intellect. pp. 185–187. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 10 February 2018.
  63. "UEFA Champions League entrance music". 29 September 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 December 2021. สืบค้นเมื่อ 17 August 2018 – โดยทาง YouTube.
  64. "2Cellos to perform UEFA Champions League anthem in Kyiv". UEFA.com. Union of European Football Associations. 18 May 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 May 2018. สืบค้นเมื่อ 17 August 2018.
  65. "Asturia Girls to perform UEFA Champions League anthem in Madrid". UEFA.com. Union of European Football Associations. 21 May 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 May 2019. สืบค้นเมื่อ 19 June 2019.
  66. "Hungarian Pianist to Open Champions League Final". Hungary today. 7 June 2023. สืบค้นเมื่อ 25 June 2023.
  67. "Behind the Music: Champions League Anthem Remix with Hans Zimmer". Electronic Arts. 12 June 2018. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2018. สืบค้นเมื่อ 13 August 2018.
  68. "1. Facts & Figures" (PDF). UEFA Champions League Statistics Handbook 2020/21. Union of European Football Associations. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 10 October 2015. สืบค้นเมื่อ 29 October 2020.
  69. "UEFA approves final format and access list for its club competitions as of the 2024/25 season". Return to Play. UEFA. 10 May 2022. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2022.
  70. "Distribution to clubs from the UEFA Champions League, UEFA Europa League, UEFA Conference League and the UEFA Super Cup for the 2024–27 cycle (2024/25 season)" (PDF). 22 March 2024. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 28 March 2024. สืบค้นเมื่อ 22 April 2024.
  71. Trullols, Javier (23 April 2021). "Así repartió la Uefa los 2.419 millones en ingresos de la Champions 2019-2020". Palco23 (ภาษาสเปน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 December 2021. สืบค้นเมื่อ 18 March 2023.
  72. "Who has played 100 Champions League games?". UEFA.com. 29 November 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 August 2020. สืบค้นเมื่อ 29 November 2023.
  73. "Champions League – All-time appearances". WorldFootball.net. สืบค้นเมื่อ 3 October 2023.
  74. "Champions League all-time top scorers". UEFA. 29 November 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2020. สืบค้นเมื่อ 29 November 2023.
  75. "Champions League + European Cup – All-time Topscorers". WorldFootball.net. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 August 2020. สืบค้นเมื่อ 3 October 2023.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]