นั่งหลบแดดอยู่ในศาลาท่าน้ำสรรพวุธบางนา รอขึ้นเรือโดยสารสาธารณะข้ามไปยังฝั่งบางกะเจ้า จุดมุ่งหมายที่จะไปมีชื่อว่า ‘Hiddenwoods’
เรือแล่นตัดแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังฝั่งตรงข้าม ไม่กี่นาทีก็ถึง พอขึ้นไปบนฝั่งก็ไม่น่าเชื่อว่าแค่ไม่กี่นาทีจากอากาศที่อบอ้าวและความจ้อกแจ้กจอแจทั้งหลาย จะกลายเป็นอากาศเย็นสบายและได้ยินเสียงนกร้องคลอระหว่างเดินเท้าต่อไปยัง Hiddenwoods แมน-ปัญญา เต็มคำขวัญ เจ้าของสถานที่ออกมาต้อนรับผม และพาเดินดูรอบๆ แมนบอกว่าเราเป็นคนแรกๆ ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่แห่งนี้
พื้นที่ขนาด 3 ไร่นี้กำลังจะเปิดเป็นโฮมสเตย์ คาเฟ่ และพื้นที่จัดกิจกรรม รวมถึงเป็นบ้านของแมน แยม และอลัน ลูกชายวัยขวบเศษๆ
ชื่อ Hiddenwoods ได้มาจากความเขียวครึ้มของต้นไม้ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่อย่างไม่ต้องสงสัย ทางเข้ามาสู่ที่นี่มีอยู่ 2 ทาง คือทางเรือโดยสารสาธารณะจากท่าสรรพวุธบางนามาขึ้นยังท่าเรือตาเลื่อน แล้วเดินด้วยทางเท้าชุมชนเล็กสำหรับให้คนเดิน หรือขี่จักรยานเข้ามาจนถึง Hiddenwoods ส่วนอีกทางหนึ่งคือมาทางรถยนต์ แต่หาที่จอดจากทางด้านนอก แล้วเดินมายังเส้นทางเท้าของชุมชนเช่นเดียวกัน
“การใช้เรือสาธารณะและใช้ทางเข้าที่ให้คนได้ผ่านชุมชนเข้ามาก่อนน่าจะเป็นการช่วยสร้างเรื่องราวของคนที่จะเข้ามา เราต้องการให้เขาเดินดูบรรยากาศของบางกะเจ้าก่อน เราแค่ติดป้ายเล็กๆ บอกว่า Hiddenwoods แล้วเปิดประตูไว้ ใครเดินหรือขี่จักรยานผ่านมาผ่านไปถ้าสังเกตเห็นก็เข้ามาได้ ให้ความรู้สึกมันเหมือนเป็นป่าลับๆ อย่างที่ต้องการ” สมาชิกใหม่ของบางกะเจ้าเล่าให้ผมฟังด้วยท่าทีนอบน้อม
พื้นที่ของบางกะเจ้าที่เรียกกันจนคุ้นหูแล้วว่า เป็นปอดของกรุงเทพฯ เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนและโอโซนขนาดใหญ่ที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด หลายหน่วยงานและชุมชนต้องการอนุรักษ์ให้บางกะเจ้าไม่ถูกทำลายไปมากกว่านี้ เลยจะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายรายทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก รวมถึง Hiddenwoods ด้วย
“ที่ตรงนี้เดิมเป็นป่าจากและป่าหญ้า วัชพืชขึ้นรกไปหมด มีต้นไม้ใหญ่คือต้นจามจุรีกับต้นไทร เราเริ่มสร้างที่นี่โดยคำนึงถึงต้นไม้ ถางพวกวัชพืชออก เก็บต้นไม้ที่มีประโยชน์ไว้ รวมถึงต้นไม้ใหญ่ด้วย แล้วก็เอาต้นไม้ใหม่มาปลูกเพิ่ม ปลูกตั้งแต่เป็นต้นกล้าเล็กๆ ซื้อกล้ามาปลูกเป็นพันๆ ต้น เพราะทางเข้าที่แคบทำให้ล้อมต้นไม้ใหญ่เข้ามาปลูกไม่ได้ ผมได้คำแนะนำจากพี่วิทย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องต้นไม้แห่ง Little Tree Garden เรื่องการปลูกต้นไม้เสริม คำแนะนำจากพี่วิทย์คือให้ใช้ต้นไม้ท้องถิ่น เพราะดินที่บางกะเจ้าเป็นดินน้ำกร่อย ต้นไม้ที่จะนำมาปลูกเสริมก็ควรจะอยู่ในดินแบบนี้ได้ เลยเลือกต้นขี้เหล็ก ต้นสะเดา และต้นตีนเป็ดน้ำ มาเสริม”
“ดินที่ใช้ปลูกต้นไม้ก็เหมือนกัน ผมกับลุงรีย์แบกดินขนปุ๋ย เลือกเอาพวกปุ๋ยธรรมชาติ เอามูลไส้เดือน มาบำรุงพื้นที่ แบกเข้ามาก็หลายตันอยู่ มีแค่รถเข็นที่ทุ่นแรง วิ่งเข้าวิ่งออกหลายรอบใช้เวลาขนกัน 2 วัน ค่อยๆ ทำกัน ถึงวันนี้ก็ 3 ปีแล้ว ต้นไม้ที่ปลูกโตบ้าง ตายบ้าง แต่ต้นที่โตก็เห็นผลดีทีเดียว” แมนเล่าถึงการเริ่มรักษาพื้นที่สีเขียวแห่งนี้
อาคารหลักของ Hiddenwoods มีอยู่ 4 อาคาร แมนแบ่งสัดส่วนใช้เป็นบ้านของตัวเอง ด้านบนสุดมีดาดฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยกิ่งก้านต้นจามจุรีใหญ่
ด้านหน้าริมน้ำเป็นคาเฟ่ ด้านในสุดเป็นอาคารเล็กๆ 2 หลังที่เตรียมทำให้เป็นโฮมสเตย์
ว่ากันตามกฎหมาย การสร้างอาคารในบางกะเจ้าถูกกำหนดไว้ค่อนข้างละเอียด โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อาคารแต่ละหลังจะต้องสร้างไม่เกิน 200 ตารางเมตร และจะต้องมีพื้นที่ของอาคารแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด ความสูงของอาคารจะต้องไม่เกิน 12 เมตร
“Hiddenwoods สร้างทุกอย่างตามที่กำหนดมา ทำตามระเบียบกติกาที่กำหนดไว้สำหรับชุมชนทุกอย่าง ซึ่งนั่นไม่ยากเลยถ้าเทียบกับโจทย์จากธรรมชาติ เราออกแบบตามบริบทของพื้นที่ บริบทที่หมายถึงคือ ต้นไม้ โจทย์ที่เราตั้งใจทำคือเก็บต้นไม้เอาไว้ให้มากที่สุด ตรงไหนที่เหลือค่อยสร้างอาคาร โจทย์จากธรรมชาติยากกว่ากฎหมายเสียอีก อาจจะคิดว่านี่คือการออกแบบ แต่ที่จริงแล้วตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มันคือการแก้ปัญหา”
เส้นทางเดินใน Hiddenwoods จะเห็นว่าบางทีก็คดเคี้ยวผิดธรรมชาติทางเดิน แต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นทางที่สร้างจากช่องว่างของต้นไม้ และแก้ปัญหาการมีพื้นที่ในการสร้างทางเดินข้างล่างได้ยากด้วยการสร้างทางเชื่อมระหว่างอาคารต่างๆ แบบลอยฟ้าแทน
“เราอยากมีดาดฟ้าใต้ต้นจามจุรีเป็นพื้นที่ร่มรื่นที่เอาไว้ใช้ทำกิจกรรม ตอนที่ยังไม่ได้สร้างตึกเราตั้งนั่งร้านแล้วลองปีนขึ้นมาเล็งดูว่าความสูงระดับนี้ มุมประมาณนี้น่าจะสวยพอดี แล้วค่อยสร้างอาคารขึ้นมา ตามกฎแล้วอาคารในบางกะเจ้าสูงได้ถึง 12 เมตร แต่อาคารนี้สูงแค่ 7 เมตร ที่ได้เท่านี้เพราะกิ่งใหญ่ๆ ที่แผ่ออกของต้นจามจุรีสูงให้เราแค่นี้ ถ้าเราสร้างสูงกว่านี้อีก 1 ฟุตก็ต้องตัดกิ่งออกแล้ว แต่เราก็ทำเท่าที่ธรรมชาติให้โจทย์มา
“บ้านที่เราอยู่จะเพดานเตี้ยกว่าบ้านคนปกติทั่วไป เพราะความสูงมันถูกจำกัดด้วยความสูงของต้นไม้ที่อยู่เหนือดาดฟ้า แต่เราก็อยู่ได้โดยไม่มีปัญหา ส่วนพื้นที่ด้านล่างตั้งใจจะใช้เป็นแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะ ตรงชั้น 1 สามารถใช้เป็นแกลเลอรี่ได้ด้วยเช่นกัน และเปิดเชื่อมออกไปเป็นลานหินกับระเบียงไม้ริมแม่น้ำ รวมถึงคาเฟ่”
มองออกไปที่ระเบียงริมแม่น้ำ เปิดโล่งรับลมเย็นพัดมาอย่างเต็มที่ พื้นที่รอบๆ ด้านในยังเต็มไปด้วยต้นจากอยู่เต็มไปหมด แมนบอกว่า ตอนพายุเข้า ต้นจากพวกนี้เป็นกำแพงกันลมโดยธรรมชาติ ลมแรงมาก แต่ต้นไม้ข้างในบ้านกิ่งไม่หักและต้นไม้ไม่โค่นเลยสักต้น
ผมสังเกตเห็นกอจากกอใหญ่ที่เหลืออยู่กอเดียวริมฝั่ง แมนบอกว่า เขาต้องเอาหินมากันเอาไว้เพื่อไม่ให้กอจากพังทลาย ผมสงสัยว่าต้นจากที่เหมือนเป็นกำแพงแข็งแรงตามธรรมชาติขนาดนี้ ทำไมต้องให้คนช่วยเอาหินมาป้องกันด้วย
“เมื่อก่อนไม่ได้มีเรือใหญ่มากเหมือนปัจจุบัน พอมีเรือใหญ่ คลื่นก็ซัดเข้าฝั่งแรงขึ้น ต้นจากก็ร่วงจากไปเร็วกว่าธรรมชาติของมัน เลยต้องเอาหินมากันคลื่นรักษามันไว้” แมนตอบ
ด้วยความตั้งใจที่อยากจะให้เป็นพื้นที่ที่เป็นมิตรกับชุมชน แมนเลยบอกผมว่า ในช่วงแรก Hiddenwoods จะเริ่มเปิดให้คนเข้าเฉพาะกิจกรรมพิเศษเท่านั้น ประเดิมกิจกรรมแรกด้วยเวิร์กช็อปตามหารสอุมามิของเชฟแบล็ก จากร้าน Blackitch เชฟแบล็กจะสอนเรื่องการหารสชาติอุมามิจากของใกล้ตัว และปรุงรสอุมามิเป็นของตัวเอง พร้อมเอามาต่อยอดทำเป็นเชฟส์เทเบิ้ลริมแม่น้ำเจ้าพระยาในวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้
และอาทิตย์ถัดไปในวันที่ 24 พฤศจิกายน ลุงรีย์ร่วมกับฟาร์มโตะจะลงพื้นที่เสาะหาวัตถุดิบท้องถิ่น
มาสร้างสรรค์เป็นเมนู ‘รสบางกะเจ้า’ ชวนนักกินมาลิ้มรสเมนูใหม่ๆ และส่งต่อสูตรอาหารให้กลายเป็นของชุมชนต่อไป
การเปิดเฉพาะกิจกรรมพิเศษทำให้เราได้จำกัดจำนวนคนด้วย เมื่อพร้อมในการจัดการค่อยเปิดคาเฟ่เล็กๆ ที่ดูแลกันเอง คาดว่าจะเปิดให้คนทั่วไปเข้ามานั่งอยู่ในบรรยากาศป่าลึกลับแห่งนี้ในช่วงปลายปี ใครอยากไปสัมผัสพื้นที่สีเขียวแหล่งใหม่ก่อนใคร ลองติดตามรายละเอียดรวมถึงกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่จะจัดขึ้นได้ทาง Instagram | @Hiddenwoods_bkk